วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

Inside Out

1. สรุปเนื้อเรื่อง Inside Out
         คอนเซปท์ของเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของอารมณ์กับการทำงานของสมองทั้ง ความทรงจำระยะสั้นและ ความทรงจำระยะยาวและเป็นเรื่องที่พยายามศึกษาและถ่ายทอด เรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ของมนุษย์ พฤติกรรมของมนุษย์ การทำงานของสมอง การเข้าใจเรียนรู้ภาวะซึมเศร้า หรือแม้กระทั่งการเรียนรู้จะยอมรับตัวเอง  ไอเดียของเรื่อง Inside Out ค่อนข้างจะน่าทึ่ง มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของไรลีย์ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องย้ายบ้านตามพ่อแม่ แล้วหลังจากนั้นก็ประสบปัญหาในการปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่  แต่เบื้องหลังแล้ว ด้านในหัวของไรลีย์ สิ่งที่ตอบสนองต่อสถานการณ์พวกนี้ล้วนเป็นเรื่องของ อารมณ์และการทำงานด้านสมอง ในหนังมีแบ่งตัวที่ควบคุมสมองเป็นอารมณ์ห้าแบบ 
- Joy (สุขสันต์ หรือ ลั้ลลา)- Sadness (เศร้าหมอง)
- Fear (ความกลัว)
- Anger (ความโกรธ)
- Disgust (ขยะแขยง)


            ทุกสถานการณ์ที่ตัวอารมณ์เหล่านี้ตอบสนอง จะก่อให้เกิดเป็นลูกบอลความทรงจำซึ่งจะไหลมาเก็บไว้ที่ ความทรงจำระยะสั้นซึ่งอยู่ใกล้กับแผงควบคุม อารมณ์ทั้งห้าสามารถหยิบของพวกนี้มาใช้ได้ในทันที หลังจากนั้นลูกบอลบางส่วนจะถูกส่งไปยังสถานที่เก็บ ความทรงจำระยะยาวซึ่งเกี่ยวพันกับการสร้างตัวบุคลิกของตัวไรลีย์ขึ้นมา  และหัวหน้าทีมที่คอยนำ อารมณ์ของไรลีย์ก็คือ ลั๊นลา  แต่แล้ววันหนึ่ง ลั๊นลา กับเศร้าซึม ต้องระหกระเหินออกจากศูนย์บัญชาการ ทำให้ทั้งสามตัวที่เหลือคือ Fear (ความกลัว) , Anger (ความโกรธ)และ Disgus (ความขยะแขยง) เป็นตัวควบคุมศูนย์กลางแทน หลังจากนั้นชีวิตของไรลีย์ย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะเธอตอบสนองสถานการณ์ภายนอกด้วยความโกรธ, ความกลัว และความรู้สึกขยะแขยงแทน หลังจากนั้นลั๊นลาก็พยายามหาวิธีกลับสู่ศูนย์กลางเพื่อที่จะทำให้ไรลีย์กลับมามีความสุขดังเดิม และสุดท้ายลั๊นลาและเศร้าซึมก็สามารถกลับมาสู่ศูนย์กลางการควบคุมอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ไรลีย์กลับมามีความสุขดังเดิม และไรลีย์ก็มีการเจริญเติบโตขึ้นจึงทำให้แผงควบคุมศูนย์กลางเพิ่มขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้นตามไปด้วย

2.ได้อะไรจากหนังเรื่อง Inside Out
ตอบ  1. คนเราเกิดมาก็ย่อมมีอารมณ์ที่หลากหลายแตกต่างกันไปและทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาก็ล้วนมีทั้งประโยชน์และโทษ เช่น
         - ความกลัวทำให้เราระมัดระวังมากขึ้น
         - ความขยะแขยงกับความโกรธ... อย่างน้อยก็ช่วยทำให้เราหลีกเลี่ยงบางอย่างที่เราไม่ชอบ เพื่อจะรักษา ความสุขของเราเอาไว้ได้บ้าง หรือไม่ก็เป็นการบอกกับคนอื่นว่า ฉันไม่พอใจนะ ฉะนั้นช่วยถอยไปห่างๆหรือช่วยเงียบก่อนไหม
         - ความสุขสันต์นั้นไม่ต้องพูดถึง มีประโยชน์เห็นๆ
         - ความเศร้าซึมก็สอนให้เราเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เช่นเห็นคนอกหัก ถึงแม้จะไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเราเองแต่ก็ทำให้เรารู้สึกเห็นใจผู้อื่น
2. ความรู้และความทรงจำต่างๆถ้าเรานำมาคิดหรือใช้บ่อยๆมันก็จะกลายเป็นความจำฝังลึกหรือความจำระยะยาวที่เราจำได้แม่น แต่ความรู้หรือความทรงจำไหนที่เราไม่มีการใช้งานมันก็จะหายและลบไป
3. ภายในตัวของเราก็จะมีโลกแห่งความฝันและจินตนาการของทุกคนที่ใฝ่ฝันต่างๆนาๆและมันเป็นสิ่งที่เราชอบและทำให้เรามีความสุข
4. ยิ่งเราโตขึ้นความคิดและอารมณ์ของเราก็จะซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

3. ดูหนัง Inside Out แล้วเอาไปเปรียบเทียบกับทฤษฎีเชาวน์ปัญญา
   ตอบ 
1. ทฤษฎีของ
เพียเจต์ (Piaget) จากหนังเมื่อไรลีย์มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไรลีย์ก็สามารถมีความคิดที่ซับซ้อนและมีเหตุผลมากยิ่งขึ้นกว่าตอนเด็กๆ ตามทฤษฎีของเพียเจต์ก็มีการแบ่งพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของเด็กออกเป็นช่วงอายุ และแสดงให้เห็นว่าเมื่อเด็กโตขึ้นเรื่อยๆก็จะมีพัฒนาการทางความคิดที่ดีขึ้น
2. ทฤษฎีของออซูเบล (Ausubel) จากหนังตอนที่มีตัวการ์ตูนที่เป็นเสมือนคนดูแลความสะอาดในเรื่องของความทรงจำถ้าความทรงจำไหนไม่เป็นประโยชน์ก็จะถูกละทิ้งลงถังขยะไป ก็เปรียบเสมือนคนเราตามทฤษฎีของออซูเบล ที่กล่าวว่าถ้าสิ่งนั้นไม่สร้างความหมายให้ต่อผู้เรียนสิ่งนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์
3.ทฤษฎีของคลอสไมเออร์(Klausmeier) ว่าด้วยเรื่องความทรงจำตอนแรกก็จะเก็บเป็นความทรงจำระยะสั้น หลังจากนั้นถ้ามันเป็นสิ่งที่สำคัญต่อเราเราก็จะจำและเป็นความทรงจำระยะยาว เหมือนในหนังInside Out ที่มีการเก็บความทรงจำของไรลีย์แทนลูกแก้วที่ใช้เก็บความทรงจำและเมื่อเป็นครบวันก็จะเอาไปเก็บเป็นความทรงจำระยะยาวต่อไป
4. ความรู้เกี่ยวกับการรู้คิดของตนเอง เป็นการรู้ของแต่ละบุคคลต่อสิ่งที่เรียนรู้มากน้อยเพียงใด ตลอดจนประสบการณ์ ระดับความสามารถ เหมือนที่ไรลีย์มีความสามารถทางด้านกีลาฮ๊อกกี้และมีประสบการณ์ในการเล่นเพราะเล่นมาตั้งแต่เด็กๆ

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรม

                                                               ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรม
                                                                      (Behavioral  Theories)
            การเรียนรู้เป็นกระบวนการในการพัฒนาความสามารถ และศักยภาพของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านความรู้ ด้านทักษะ ด้านเจตคติ เป็นต้น  ซึ่งแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของมนุษย์ได้รับความสนใจจากนักปรัชญาและนักจิตวิทยามาตั้งแต่ในอดีต ซึ่งต่างก็มีแนวคิดหรือทัศนะที่หลากหลาย และได้พัฒนาไปเป็นรากฐานในการจัดการศึกษาในปัจจุบัน
            ฉะนั้น  เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการออกแบบและพัฒนาระบบการสอนจึงต้องศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับปรัชญา ทฤษฎี หลักการ และแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ในเชิงจิตวิทยา โดยในบทความฉบับนี้จะนำเสนอเกี่ยวกับ ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Learning Theory : Behaviorism) โดยนักจิตวิทยาสามารถแยกพฤติกรรมมนุษย์ออกเป็น 2 ประเภท ใหญ่ๆคือ
             1. พฤติกรรมเรสปอนเดนส์ (Respondent Behavior ) เกิดขึ้นดดยสิ่งเร้า เมื่อมีสิ่งเร้าก็จะตอบสนองเองตามธรรมชาติ
             2. พฤติกรรมโอเปอเรนต์ (Operant Behavior) เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกมา โดยปราศจากสิ่งเร้าที่แน่นอน เรียกว่าทฤษฎีเงื่อนไขแบบลงมือกระทำ

               
              ต่อไปนี้จะเป็นรายละเอียดของทฤษฎีการเรียนรู้



            1. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (Classic Conditioning Theory)
                ทฤษฎีการเรียนรู้แบบการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคนั้น  ผู้ริเริ่มตั้งทฤษฎีนี้เป็นคนแรก คือ พาฟลอฟ (Pavlov) ต่อมาภายหลังวัตสัน (Watson) ได้นำเอาแนวคิดของพาฟลอฟไปดัดแปลงแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น 
               โดยพาฟลอฟเชื่อว่า การเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตเกิดจากการวางเงื่อนไข (Conditioning) คือ การตอบสนองหรือการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนั้น ๆ ต้องมีเงื่อนไขหรือมีการสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้น เช่น การทดลองกับสุนัขดังต่อไปนี้



                                 จากหลักการข้างต้นสามารถสรุปหลักการเรียนรู้ของพาฟลอฟเป็นแผนผัง ดังนี้
การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค = สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข + สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข = การเรียนรู้

            แนวคิดของวัตสัน (Watson)
                    ทฤษฎีของเขามีลักษณะในการอธิบายเรื่องการเกิดอารมณ์จากการวางเงื่อนไข (Conditioned emotion)  วัตสัน ได้ทำการทดลองโดยให้เด็กคนหนึ่งเล่นกับหนูขาว และขณะที่เด็กกำลังจะจับหนูขาว ก็ทำเสียงดังจนเด็กตกใจร้องไห้ หลังจากนั้นเด็กจะกลัวและร้องไห้เมื่อเห็นหนูขาว ต่อมาทดลองให้นำหนูขาวมาให้เด็กดู โดยแม่จะกอดเด็กไว้ จากนั้นเด็กก็จะค่อย ๆ หายกลัวหนูขาว

     2. ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบลงมือกระทำ  (Operant  Connectionism Theory)
             แนวคิดของธอร์นไดค์ (Thorndike)ธอร์นไดค์ได้สร้างสถานการณ์ขึ้นในห้องทดลองเพื่อทดลองให้แมวเรียนเรียนรู้ การเปิดประตูกรงของหีบกลหรือกรงปริศนาออกมากินอาหาร ด้วยการกดคานเปิดประตู  ซึ่งจากผลการทดลองพบว่า




             ดังนั้น  จากการทดลองจึงสรุปได้ว่า แมวเรียนรู้วิธีการเปิดประตูโดยการกดคานได้ด้วยตนเองจากการเดาสุ่ม หรือแบบลองถูกลองผิด จนได้วิธีที่ถูกต้องที่สุด และพบว่ายิ่งใช้จำนวนครั้งการทดลองมากขึ้นเท่าใด ระยะเวลาที่ใช้ในการแก้ปัญหาคือเปิดประตูกรงออกมาได้ยิ่งน้อยลงเท่านั้น  และจากผลการทดลองดังกล่าว สามารถสรุปเป็นกฎการเรียนรู้ ได้ดังนี้
 กฎการเรียนรู้ 1. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) การเรียนรู้
 2.  กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) การฝึกหัดหรือกระทำบ่อย ๆ
 3. กฎแห่งการใช้ (Law of Use and Disuse) การเรียนรู้และนำไปใช้บ่อย ๆ
 4. กฎแห่งผลที่พึงพอใจ (Law of Effect) ได้รับผลที่พึงพอใจ เป็นสิ่งสำคัญในการเรียนรู้

แนวคิดของสกินเนอร์(Skinner)
           สกินเนอร์มีแนวคิดว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม เพราะทฤษฎีนี้ต้องการเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม สิ่งสนับสนุนและการลงโทษ โดยพัฒนาจากทฤษฎีของ พาฟลอฟ และธอร์นไดค์  โดยสกินเนอร์มองว่าพฤติกรรมของมนุษย์เป็นพฤติกรรมที่กระทำต่อสิ่งแวดล้อมของตนเอง  พฤติกรรมของมนุษย์จะคงอยู่ตลอดไป จำเป็นต้องมีการเสริมแรง ซึ่งการเสริมแรงนี้มีทั้ง                                  
การเสริมแรงทางบวก (
Positive Reinforcement) และการเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement)
           การเสริมแรงทางบวก หมายถึง สภาพการณ์ที่ช่วยให้พฤติกรรมโอเปอแรนท์เกิดขึ้นในด้านความที่น่าจะเป็นไปได้การเสริมแรงทางลบเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์อาจจะทำให้พฤติกรรมโอเปอแรนท์เกิดขึ้นได้ ในด้านการเสริมแรงนั้น สกินเนอร์ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยได้แยกวิธีการเสริมแรงออกเป็น 2 วิธี คือ
 1.  การให้การเสริมแรงทุกครั้ง (Continuous Reinforcement) เป็นการให้การเสริมแรงทุกครั้งที่ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ตามที่กำหนดไว้ 
 2.  
การให้การเสริมแรงเป็นครั้งคราว (Partial Reinforcement) เป็นการให้การเสริมแรงเป็นครั้งคราว โดยไม่ให้ทุกครั้งที่ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่พประสงค์ โดยแยกการเสริมแรงเป็นครั้งคราว ได้ดังนี้   
      2.1    เสริมแรงตามอัตราส่วนที่แน่นอน
           2.2    เสริมแรงตามอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน
      2.3    เสริมแรงตามช่วงเวลาที่แน่นอน
      2.4   
เสริมแรงตามช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน





วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558

คำถามท้ายบทที่ 1

1.  MOOCs (Massive Open Online Courses) ถือว่าเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาประเภทใด เเละเพราะอะไร
    ตอบ  ถือว่าเป็น นวัตกรรมประเภทการเรียนการสอน เพราะ เป็นการจัดการเรียนการสอนในรูปเเบบออนไลน์ที่มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยถ้าผู้เรียนสนใจในวิชาไหน ก็สามารถเข้าไปเรียนรู้ได้เเละจะมีวิดีโอการสอนจากอาจารย์ เเละวิดีโอนี้จะไม่ใช่เพียงเเต่สอนเพียงอย่างเดียวเเต่จะมีปฎิสัมพันธ์กับผู้เรียนด้วย โดยการถามคำถามให้ผู้เรียนได้เกิดทักษะการคิด อีกทั้งผู้เรียนยังสามารถทำเเบบทดสอบเเละพูดคุยปัญหาเกี่ยวกับโจทย์หรือปัญหาต่างๆได้กับเพื่อนๆผู้เรียน ในกระทู้การสนทนาเพื่อสนทนาเเรกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างๆ

2.  ประเภทของนวัตกรรมทางการศึกษาเเบ่งออกได้กี่ประเภทเเละเเต่ละประเภทมีข้อดีอย่างไร
     ตอบ  เเบ่งออกได้ 5 ประเภท
              1.นวัตกรรมหลักสูตร
                 ข้อดี ทำให้ได้หลักสูตรที่สอดคล้องกับสภาพเเวดล้อมในท้องถิ่นเเละตอบสนองความต้องการ                           ในการจัดการเรียนการสอนที่ก้าวหน้าทันสมัยมากยิ่งขึ้น
                         * มีความสัมพันธ์ระหว่างวิชาสูงสุด ทำให้เกิดการผสมผสานทางด้านการเรียนรู้และ                                     เนื้อหาวิชา
                         * เนื้อหาผสมผสานกัน สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้หลายรูปแบบ ทำให้สอดคล้อง                               กับความสนใจ และความต้องการของผู้เรียนและสังคม
                         * มีการคัดเลือกเนื้อหาอย่างรอบคอบ และการเรียบเรียงประสบการณ์อย่างดี ทำให้เกิด                               ประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียน
                         * ส่งเสริมทักษะและความสามารถในการแก้ปัญหาทั้งผู้เรียนและครูผู้สอน รวมทั้งส่ง                                   เสริมการค้นคว้าวิจัย
                         * เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ทำให้ผู้เรียนได้พัฒนา                                                คุณลักษณะต่าง ๆ ในตนเองและส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
              2.นวัตกรรมการเรียนการสอน
                 ข้อดี เป็นการคิดค้นเเละหาเเนวทางในการเรียนการสอนเเบบใหม่ๆเพื่อตอบสนองความ                                    ต้องการของผู้เรียน สภาพเเวดล้อม รวมถึงปัจจัยต่างๆ
              3.นวัตกรรมสื่อการสอน
                 ข้อดี ทำให้เป็นตัวเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาบทเรียนเรื่องนั้นๆได้ง่ายยิ่งขึ้น เเละ                             เป็นเเรงพลักดันให้เด็กๆมีความสนใจเเละเเรงจูงใจในการเรียนเพิ่มยิ่งขึ้น
                          * เอื้ออำนวยให้กับการติดต่อสื่อสารที่รวดเร็ว ไม่จำกัดเวลาและสถานที่ รวมทั้งบุคคล
                          * ผู้เรียนและผู้สอนไม่ต้องการเรียนและสอนในเวลาเดียวกัน
                          * ผู้เรียนและผู้สอนไม่ต้องมาพบกันในห้องเรียน
                          * ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน และผู้สอนที่ไม่พร้อมด้านเวลา ระยะทางในการ                                  เรียนได้เป็นอย่างดี
                          * ผู้เรียนที่ไม่มีความมั่นใจ กลัวการตอบคำถาม ตั้งคำถาม ตั้งประเด็นการเรียนรู้ใน                                        ห้องเรียน มีความกล้ามากกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องแสดงตนต่อหน้าผู้สอน และเพื่อน                              ร่วมชั้น โดยอาศัยเครื่องมือ เช่น E-Mail, Webboard, Chat, Newsgroupแสดงความคิด                              เห็นได้อย่างอิสระ
              4.นวัตกรรมการประเมิน
                  ข้อดี เพิ่มความสะดวกสบาย รวดเร็วเเละมีประสิทธิเพิ่มมากยิ่งขึ้นในการประเมินผล
              5.นวัตกรรมการบริหารจัดการ
                  ข้อดี ทำให้มีความเป็นระบบระเบียบ เรียบร้อย รวดเร็ว เเละมีประสิทธิภาพในการบริหารงาน                              เเละจัดการในองค์กรนั้นๆ

3.  สมมุติว่านักศึกษาไปเป็นครูประจำการ นักศึกษาจะนำนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีการศึกษาใดเข้ามาช่วยในการจัดการในเรื่องความเเตกต่างระหว่างบุลคล (Individual Different) ของผู้เรียนที่นักศึกษาได้ไปสอนเเละเพราะเหตุใดจึงเลือกนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีการศึกษานั้น
     ตอบ   CAI : Computer Assisted Instruction หรือ Computer Aided Instruction
                         เพราะระบบของคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอน ทำให้ผู้เรียนเรียนได้ในอัตราความเร็ว                          ของตนเอง เนื่องจากคอมพิวเตอร์ในฐานะเป็นสื่อ การเรียนการสอนของการเรียนเป็นราย                          บุคคลที่ดีสามารถจัดกระบวนการเรียนการสอนตามความสามารถ ของแต่ละบุคคลที่จะ                            เรียนตามอัตราความเร็วของแต่ละคนโดยที่ผู้เรียนไม่ต้องรอหรือเร่งการตอบสนอง                                    (respond) และไม่ต้องรอข้อมูลย้อนกลับ(feed back) จากครู เพราะคอมพิวเตอร์สามารถ                            ให้ข้อมูลกลับแก่ผู้เรียนทุกคนในเวลาเดียวกันโดยใช้ระบบการเจียดเวลา
                     
4.  ทำไมนักศึกษาวิชาชีพครูจึงต้องรู้เเเละเข้าใจในเรื่องนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีการศึกษา
     ตอบ   เพราะเป็นการพัฒนาการศึกษาทางหนึ่ง เป็นเครื่องมือที่สามารถนำประโยชน์มาสู่วงการศึกษาได้อย่างเหมาะสม ถ้ารู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อประโยชน์ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนการสอนของครูทั่วไป เช่น การใช้ผลิตเนิ้อหาให้อยู่ในรูปของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้นักเรียน เช่น การที่นักเรียนเรียนรู้ได้ช้าสามารถใช้เวลาเพิ่มเติมกับบทเรียนด้วยสื่อซีดี รอม เพื่อตามให้ทันเพื่อนเป็นต้น หรือนักเรียนที่เรียนได้ตามปกติ ก็ยังสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้อีกด้วย หรือในขณะเดียวกัน ครูจะต้องมีการเตรียมการที่ดี วางเเผนการชี้เเนะที่ดี เพื่อให้การเรียนรู้ของเด็กมีประสิทธิภาพเเละประสิทธิผลที่ดีขึ้นเเละยังเป็นการพัฒนาทักษะในด้านการสร้างเนื้อหาให้แก่ครูด้วยกันอีกด้วย เป็นการสร้างโอกาสในการเรียนตามนโยบายการศึกษา "การศึกษาเพื่อประชาชนทุกคน" และยังเป็นการเเก้ปัญหาในการจัดการเรียนการสอน เป็นการสร้างนวตกรรมใหม่เพื่อการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพเเละเหมาะสมกับผู้เรียนอีกด้วย เเละนอกจากจะช่วยในเรื่องการจัดการเรียนการสอนเเล้ว ยังช่วยจัดการเเละบริหารการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำระบบ MIS, EIS, Decision, Support System (DSS) เข้ามาช่วยจัดระบบฐานข้อมูลการศึกษาเป็นต้นในการพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลในนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ครู – อาจารย์ จะต้องพยายามค้นคว้าวิธีการใหม่ๆ ที่ครู – อาจารย์คิดค้นขึ้นในรูปแบบต่างๆ นั้น คือ นวัตกรรมทางการศึกษาและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา ครูต้องเรียนรู้เรื่องการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาเพื่อสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในวงการศึกษา
                      สรุปได้ 1. เพื่อนำนวัตกรรมมาใช้แก้ปัญหาในเรื่องการเรียนการสอน
                                      1.1 ปัญหาเรื่องวิธีการสอน ปัญหาที่มักพบอยู่เสมอ คือ ครูส่วนใหญ่ยังคงยึดรูป                          แบบการสอนแบบบรรยาย โดยมีครูเป็นศูนย์กลางมากกว่าการสอนในรูปแบบอื่น การสอน                        ด้วยวิธีการแบบนี้เป็นการสอนที่ขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในบั้นปลาย เพราะ                                นอกจากจะทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่าย ขาดความสนใจแล้ว ยังเป็นการปิดกั้นความ                        คิดและสติปัญญาของผู้เรียนให้อยู่ในขอบเขตจำกัดอีกด้วย
                                      1.2 ปัญหาด้านเนื้อหาวิชา บางวิชาเนื้อหามาก และบางวิชามีเนื้อหาเป็น                                    นามธรรมยากแก่การเข้าใจ จึงจำเป็นจะต้องนำเทคนิคการสอนและสื่อมาช่วย เพื่อทำให้                          นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาวิชาได้ง่ายขึ้นจึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาคิดค้น                            หาเทคนิควิธีการสอน และผลิตสื่อการสอนใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ทำให้การเรียนการสอน                              บรรลุเป้าหมายได้  
                                   2. เพื่อนำนวัตกรรมไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น                          และเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา โดยการนำสิ่งประดิษฐ์หรือแนวความคิดใหม่ ๆ ในการ                              เรียนการสอนนั้นเผยแพร่ไปสู่ครู – อาจารย์ท่านอื่น ๆ หรือเพื่อเป็นตัวอย่างอีกรูปแบบหนึ่ง                        ให้กับครู – อาจารย์ที่สอนในวิชาเดียวกัน ได้นำแนวความคิดไปปรับปรุงใช้หรือผลิตสื่อ                            การสอนใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป     

5.  นักศึกษายกตัวอย่างนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีทางการศึกษาที่ได้รับความนิยมอย่างเเพร่หลายในปัจจุบันพร้อมทั้งอธิบายข้อดีเเละข้อจำกัด ของนวัตกรรมเเละเทคโนโลยีทางการศึกษานั้นๆมา1ข้อ
     ตอบ  CAI : Computer Assisted Instruction หรือ Computer Aided Instruction
              ข้อดีของระบบคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอน
              1. ทำให้ผู้เรียนเรียนได้ในอัตราความเร็วของตนเอง เนื่องจากคอมพิวเตอร์ในฐานะเป็นสื่อ การเรียนการสอนของการเรียนเป็นรายบุคคลที่ดีสามารถจัดกระบวนการเรียนการสอนตามความสามารถ ของแต่ละบุคคลที่จะเรียนตามอัตราความเร็วของแต่ละคน โดยที่ผู้เรียนไม่ต้องรอหรือเร่งการตอบสนอง (respond) และไม่ต้องรอข้อมูลย้อนกลับ (feed back) จากครู เพราะคอมพิวเตอร์สามารถให้ข้อมูลกลับแก่ผู้เรียนทุกคนในเวลาเดียวกันโดยใช้ระบบการเจียดเวลา (Time Sharing)
             2. ผู้เรียนจะเรียนที่ไหนเมื่อใดก็ได้ ด้วยความก้าวหน้าของระบบการสื่อสารทำให้ผู้เรียนสามารถ ใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อถ่ายทอดความรู้กับผู้อื่น หรือศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจากโปรแกรมที่กำหนดไว้ได้ ทุกเวลาที่ต้องการจะเรียนในทุกๆ แห่ง
             3. ผู้เรียนสามารถเรียนได้จากสื่อประสม (Multi media) จากระบบคอมพิวเตอร์ เนื่องจาก ระบบไมโครคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนในปัจจุบันได้รับการพัฒนาจนสามารถที่จะแสดงภาพ ลายเส้นที่เคลื่อนไหวและการเสนอบทเรียนเป็นภาษาไทย การต่อวงจรระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมสื่ออื่น ให้เสนอบทเรียนในเวลาที่เหมาะสมกับการตอบสนองของผู้เรียน จะทำให้ประสิทธิภาพการเรียนการสอนดีขึ้นม
            4. ผู้เรียนสามารถทราบผลการเรียนของตนเองในการปฏิบัติกิจกรรมรวดเร็วกว่าสื่ออื่นๆ เนื่อง จากคอมพิวเตอร์มีลักษณะเด่น คือการเก็บข้อมูลซ่อนคำตอบของกิจกรรมไว้ในหน่วยความจำหรือ แผ่นดิสก์ได้ครั้งละมาก ๆ เมื่อผู้เรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมแต่ละกิจกรรมแล้วระบบคอมพิวเตอร์ สามารถบอกคำตอบหรือผลเฉลี่ยของกิจกรรมที่ถูกต้องได้ทันที
             ข้อจำกัดของระบบคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอน
            1. ขาดบทเรียนสำเร็จรูปที่ใช้กับระบบคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอน ถึงแม้ว่าจะมีการพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูปเพื่อใช้กับคอมพิวเตอร์ในต่างประเทศเกี่ยวกับการสอนวิชาต่าง ๆ แต่วิชาเหล่านี้ไม่ ได้จัดกระบวนการเรียนการสอนตามหลักสูตรของประเทศไทย ทำให้ไม่สามารถนำมาใช้ได้โดยตรง จำเป็นต้องมีการนำมาพัฒนาหรือปรับปรุงให้เหมาะสมกับหลักสูตรของประเทศไทย และเป็นภาษาไทยให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจบทเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
            2. ขาดบุคลากรที่มีความรู้ทางด้านการออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนให้เหมาะ สมกับระบบการเรียนการสอน แต่ละท้องถิ่นของประเทศไทย ซึ่งมีความแตกต่างทางด้านสังคมเศรษฐกิจ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ผู้มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์อย่างดีขาดความรู้ด้านการจัดระบบการศึกษา และฝึกอบรมบุคลากรในสาขาวิชาชีพอื่น ๆ และผู้ที่มีความรู้ในด้านการจัดระบบการศึกษา